Search Engine Optimization

ในโลกอินเตอร์เน็ตอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเว็บไซต์นับเป็นล้านๆเว็บคอยให้ผู้คนค้นพบ เว็บไซต์ของคุณก็เป็นหนึ่งในนั้น ปกติแล้วเมื่อผู้คนค้นหาสิ่งใดสิ่งหนึ่งบนอินเตอร์เน็ท สิ่งที่เขาทำก็คือ เข้าไปยัง Search Engine (เว็บไซต์ที่ให้บริการค้นหา) เพื่อทำการค้นหาข้อมูลหรือเว็บไซต์ที่ต้องการ ยกตัวอย่างเช่น หากต้องการซื้อ ทีวี ผู้คนก็มักไปค้นหาผ่าน Search Engine ว่า มีเว็บไซต์ใดหรือร้านใดขายทีวีบ้าง

กระบวนการค้นหาของ Search Engine เป็นกระบวนการที่ซับซ้อน และค้นหาสิ่งที่เราต้องการจากเว็บไซต์นับล้านๆเว็บ ซึ่งโอกาศที่ผู้คน เมื่อค้นหาผ่าน Search Engine แล้วคลิกเข้าไปยังเว็บไซต์ส่วนใหญ่จะอยู่ที่หน้า 1 ถึงหน้าที่ 3 ในผลการค้นหา จะดีกว่าหรือไม่ถ้าเราจะทำให้เว็บไซต์ของเรา สามารถแสดงผลเมื่อมีผู้คนค้นหา สินค้าที่เรามีขาย อยู่ในหน้า 1-3 บน Search Engine หรือ ติดอันดับ 1 ในผลการค้นหา กระบวนการทำให้เว็บไซต์แสดงผลในอันดับที่ดีๆมีอยู่หลากหลายวิธีด้วยกัน วิธีแรกที่นิยมกัน คือ ทำการซื้อโฆษณาบน Search Engine แน่นอน เมื่อเราเสียเงิน เราก็จะได้แสดงผลในตำแหน่งที่เราต้องการ ซึ่งข้อเสียของวิธีนี้ก็มี คือเราจะต้องทำการโฆษณาอยู่ตลอด (นั่นหมายถึงเสียเงินอยู่ตลอด) เพื่อให้ Search Engine แสดงผลเว็บเราในหน้าแรกๆ วิธีอื่นๆก็มีครับ ซึ่งจะเป็นการเรียกว่าการทำ Search Engine Optimization หรือ เรียกอย่างย่อๆว่า SEO ซึ่งเป็นกระบวนการทำให้เว็บไซต์ของเรา สามารถติดอันดับการแสดงผลในอันดับที่ดีๆ ซึ่งเว็บไซต์ที่ทำ SEO อย่างถูกต้อง จะให้อันดับการค้นหาที่ยั่งยืนกว่า ซึ่งเป็นผลดีมากกว่า แต่กระบวนการทำ SEO นี่ค่อนข้างใช้เวลานานกว่าการซื้อโฆษณา ซึ่งเห็นผลทันที

เทคนิคการทำ SEO ก็มีหลากหลายวิธีด้วยกันครับ วิธีหนึ่งก็คือ การจ้างทำ SEO เพื่อให้ผลการค้นหาอยู่ในอันดับที่ดีๆ ซึ่งหากต้องการให้อยู่อันดับ 1 เลย ค่าใช้จ่ายในการทำก็จะสูงมากด้วย

จริงๆแล้วกระบวนการทำ SEO ก็มีปัจจัยประกอบหลายประการเช่น

  1. ค่า PageRank ของเว็บไซต์ ซึ่งจะมีค่าตั้งแต่ 0-10 ยิ่งค่า PageRank สูงๆโอกาศที่ผลการค้นหาอยู่ในอันดับต้นๆก็จะมีสูงขึ้นด้วย (ค่า PageRank เปรียบเหมือนคะแนนของเว็บไซต์ เว็บไซต์ที่มีคะแนนสูงๆโดยทั่วไปจะหมายถึงเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ)
  2. กระบวนการทำ SEO บนเว็บไซต์ เช่น การกำหนด ไตเติลของเว็บไซต์ การใส่คีย์เวิร์ดลงในเนื้อหา ยกตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ขายทีวี ก็ต้องใส่คำว่า "ทีวี" ลงใน ไตเติล หัวข้อ และ เนื้อหาของเว็บ เพื่อย้ำว่าหน้านี้เกี่ยวข้องกับทีวี โดยที่คำว่า "ทีวี" จะหมายถึงคีย์เวิร์ด ที่ผู้คนใช้ค้นหา
  3. Back Link หมายถึง การมีลิงค์มายังเว็บไซต์ของเรา ซึ่งความหมายโดยทั่วไป จะหมายความว่า หากหน้าเว็บใดมีประโยชน์มากที่สุด หน้านั้นก็จะมีผู้คนทำลิงค์กลับมาหามากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น หากหน้าเว็บขายทีวีของเรา มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับทีวีที่เราขายอย่างครบถ้วน หน้านี้ ก็อาจถูกใช้อ้างอิงโดยเว็บไซต์อื่นๆ ว่าหน้านี้มีข้อมูลเกี่ยวกับทีวียี่ห้อนั้นๆได้ โดยเทียบกับหน้าเว็บขายทีวี ที่ไม่ระบุอะไรเลย ย่อมให้ประโยชน์น้อยกว่า

หากกระบวนการทำ SEO ถูกต้อง ผลการค้นหาของเราก็จะถูกแสดงในอันดับต้นๆ อย่างยั่งยืน โดยที่ไม่ต้องเสียเงินสักบาทเดียว เพียงแต่ข้อเสียของวิธีนี้ก็คือ ต้องเสียเวลาในการดูแลค่อนข้างมากและต้องใช้เวลานาน กว่าจะได้ผลลัพท์ตามที่ต้องการ

สิ่งหนึ่งที่จะทำกระบวนการทำ SEO ประสบความสำเร็จก็คือองค์ประกอบของเว็บไซต์ของเรานั่นเอง ที่ต้องเอื้ออำนวยให้สามารถทำ SEO ได้ โดยที่ WebShopReady ได้จัดเตรียมองค์ประกอบสำหรับการทำ SEO ไว้ให้แล้วอย่างพร้อมมูล ไม่ว่าจะเป็น ส่วนของ Title และ คีย์เวิร์ด ที่สามารถแยกจากกันได้ในแต่ละหน้า การมีโครงสร้างเว็บไซต์ตามข้อกำหนดตามมาตรฐาน ซึ่งจะช่วยให้ Search Engine สามารถเข้าใจและวิเคราะห์เนื้อหาของเราได้ รวมถึงองค์ประกอบอื่นๆอีกจำนวนมาก เพื่อช่วยในการทำ SEO อย่างยั่งยืน

ตัวอย่างผลการค้นหาคำว่า "ร้านค้าออนไลน์ เทคโนโลยี Ajax" ด้านบน คือผลการค้นหาที่ได้จาก Google โดยที่ผลการค้นหาในกรอบสีแดง คือผลการค้นหาที่มาจากโฆษณา ส่วนผลการค้นหาในกรอบสีน้ำเงิน ซึ่งอยู่ในอันดับ 1 เลย เป็นผลการค้นหาที่ไปยังเว็บไซต์ WebShopReady สังเกตุ ตัวหนังสือสีแดงในผลการค้นหานะครับ นั่นคือส่วนที่เป็นคีย์เวิร์ดบนเว็บไซต์ของเรา

Relate